ชนิดของแผลเป็น
1. แผลเป็นที่แบนราบแต่มีสีที่อ่อนกว่าหรือเข้มกว่าสีผิวปกติที่วนอยู่รอบๆ
2. แผลเป็นที่มีการดึงรั้งของผิวหนัง ทำให้ผิวมีความบิดเบี้ยวตามแรงดึงรั้งของแผลเป็น เกิดเป็นพังผืด
3. แผลเป็นที่มีความนูนหนา มีขอบเขตชัดเจนอยู่บนตัวแผล ไม่ขยายขอบออกจากแผล แผลอาจมีขนาดเล็กลงได้เอง
4. แผลเป็นชนิดคีลอยด์ มีความนูนหนาที่ลุกลามออกนอกตัวแผล มีลักษณะนูนแข็งเห็นชัดเจนจากผิวหนังปกติ และลามออกไปยังผิวหนังบริเวณข้างเคียง ตัวแผลมักนูนเหนือผิวหนังปกติตั้งแต่ 4 มิลลิเมตรขึ้นไป แผลเป็นจะไม่ยุบหายไปเอง มักพบแผลเป็นคีลอยด์ บริเวณต้นแขน หู หัวไหล่ ผิวบริเวณหน้าอก

วิธีการรักษาแผลเป็น
1. การใช้ยาทาแก้แผลเป็น ซึ่งจะช่วยให้แผลมีสีจางลงหรือบางลงได้แต่ต้องใช้เวลานาน
2. การใช้แผ่นเจลซิลิโคนติดบนแผลเป็น ช่วยลดการขยายตัวของแผล ลดการสูญเสียน้ำออกจากบริเวณรอยแผล
3. การฉีดยาสเตียรอยด์ ทำให้แผลเป็นแบนราบ ซึ่งใช้เวลาไม่เท่ากันขึ้นกับขนาดแผลเป็น หากมีแผลเป็นขนาดใหญ่จะใช้เวลานาน
4. การฉีดฟิลเลอร์ ใช้สำหรับแผลเป็นที่เป็นรอยบุ๋ม จะเห็นผลอยู่ประมาณ 6-8 เดือน
5. การสักสีผิว แพทย์จะสักสีเข้าไปในแผลเป็น ถ้าผู้ป่วยผิวสีขาว จะใช้สีขาวในการสัก ถ้าผิวสีแทนจะใช้สีแทนในการสัก
6. การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ วิธีนี้เหมาะกับแผลเป็นลักษณะตื้นมากๆ
7. การเลเซอร์แผลเป็น การเลเซอร์จะทำลายเนื้อเยื่อผิวที่นูนให้เรียบขึ้น
8. การฉายรังสี เป็นการทำเพื่อไม่ให้แผลเป็นนูนมากขึ้น
9. การทำ IPL เป็นการใช้พลังงานของแสงไปทำให้เนื้อเยื่อที่เป็นพังผืดเกิดการเรียงตัวได้เป็นระเบียบ ทำให้แผลมีขนาดเล็กลง
10. การใช้ความเย็น (cryotherapy) อาจเป็นไนโตรเจนเหลวจี้บริเวณแผลเป็น เหมาะกับแผลเป็นที่นูนหนา
11. การผ่าตัดเอาแผลเป็นเก่าออก แล้วเย็บแผลใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง อาจต้องผ่าตัดนำผิวหนังส่วนใดส่วนหนึ่งมาปิดแก้ไขแผลเป็นเดิม
ชนิดของยาทาแก้แผลเป็น
1. ยาทาแบบครีม เป็นยาทาที่มีส่วนผสมของน้ำมันมากกว่าน้ำ จึงทำให้เนื้อครีมมีความเข้มข้นสูง
2. ยาทาแบบเจล มีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณน้อยหรือไม่มีเลย ทำให้ซึมลงสู่ผิวได้ง่ายและรวดเร็วกว่ายาทาแบบครีม
หลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว ใครที่กำลังประสบปัญหามีแผลเป็นอยู่ ก็ลองเลือกสัก 1 วิธีในการแก้ปัญหาแผลเป็น แต่เป็นไปได้ยากมากที่แผลเป็นจะหายไป 100 % แต่อาจจะจางลงได้ แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาเป็นระยะเวลานาน
เครดิต : waizab
Blogger Comment
Facebook Comment